วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

ศิลปะกับวัฒนธรรม

                                       บันทึกการอ่าน

                                วันที่ ๓๑                เดือน มกราคม       พ.ศ. ๒๕๕๙
                                ที่มา : วิทูรย์ โสแก้ว                            ชื่อเรื่อง : ศิลปะกับวัฒนธรรม
                                พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                สำนักพิมพ์ : บริษัท วัฒนาพานิช จำกัด
                                หน้า ๗๓ - ๘๐

            ศิลปะ ( Art ) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และความงาม
             วัฒนธรรม ( Culture ) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากการเรียนรู้และประสบการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่าควรที่คนในสังคมยึดถือเป็นแบบแผนเพื่อประพฤติปฏิบัติ และถ่ายทอดสืบต่อมา
     " ไม่มีศิลปะ  ก็เท่ากับไม่มีวัฒนธรรม และหากไม่มีวัฒนธรรม ความเป็นชาติก็จะด้อย ความมีศักดิ์ศรี ความมีเกียรติยศชื่อเสียงในการยอมรับจากนานาอารยประเทศ "
               จากคำกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างศิลปะกับวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ศิลปะได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมที่เปฯแรงดลใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ขณะเดียวกันวัฒนธรรมก็อาศัยรูปแบบของผลงานศิลปะเป็นสิ่งแสดงถึงลักษณะความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าด้วยเช่นกัน

ภาวะเงินเฟ้อ

                                      บันทึกการอ่าน 

                                    วันที่ ๓๐              เดือน มกราคม         พ.ศ. ๒๕๕๙
                                    ที่มา : ณัทธนัท เลี่ยวไพโรจน์             ชื่อเรื่อง : ภาวะเงินเฟ้อ
                                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                    สำนักพิมพ์ : บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด
                                    หน้า ๑๑๔-๑๒๐

             ภาวะเงินฟ้อ (Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาของสินค้าและบริการที่จำเป็นส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ระดับราคาสินค้าและบริการแทบทุกหมวดเพิ่มสูงขึ้นนั้นมีผลทำให้อำนาจซื้อของเงินที่อยู่ในมือของประชาชนลดลง นั่นหมายความว่าเงินจำนวนเท่าเดิมจะใช้จับจ่ายซื้อหาสินค้และบริการได้ในปริมาณที่น้อยลง     
       ๑) รูปแบบหรือระดับภาวะเงินเฟ้อ
ในทางเศรษฐศาสตร์ แบ่งลักษณะเงินเฟ้อออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
- ภาวะเงินเฟ้อระดับอ่อน คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการไม่สูงขึ้นไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี
- ภาวะเงินเฟ้อระดับปานกลาง ( Moderate Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปมีราคาสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ ๕ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๒๐
- ภาวะเงินเฟ้อระดับรุนแรง ( Hyper Inflation ) คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปปรับราคาเพิ่มมากขึ้น หรืออีกนัยสูงกว่าร้อยละ ๒๐
         ๒) ผลกระทบที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ
- ทำให้มาตราฐานการครองชีพสูงขึ้น
- ทำให้อำนาจซื้อของกินที่อยู่ในมือประชาชนลดลง

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

สารพิษในอาหาร

                                      บันทึกการอ่าน 

                                  วันที่ ๒๗            เดือน มกราคม            พ.ศ. ๒๕๕๙
                                  ที่มา : ดร.นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์        ชื่อเรื่อง : สารพิษในอาหาร
                                  พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                  สำนักพิมพ์ : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
                                  หน้า ๑-๑๒

              สารพิษ หมายถึง สารเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และพบว่าอยู่ในอาหารบางชนิด โดยที่
มนุษย์มิได้ปลอมปนใส่เข้าไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ และสารพิษที่กล่าวถึงนี้รวมถึงสารทุกชนิดที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงชีวิต อย่างที่เรียกว่ากินแล้วเสียชีวิต หรือทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ทรมาน ไม่สบาย หรือเป็นสารที่มีฤทธิ์บั่นทอนสุขภาพ หรือขัดขวางการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย  สิ่งเหล่านี้ก์ถือว่าอยู่ในขอบเขตของคำว่า "สารพิษในอาหาร"
      ในบรรดาวัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ ได้แก่ พืชและสัตว์    พบว่าพืชบกและสัตว์นำ้บางชนิดที่มีพิษเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งสารพิษเหล่านี้บางชนิดก็มีอยู่เป็นส่วนประกอบของอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้ว และบางชนิดก็เป็นสารพิษที่ติดมากับสารอาหารตามธรรมชาตที่สัตว์กินเข้าไปแล้วเกิดการเก็บสะสมสารพิษในตัวสัตว์ เมื่อมนุษย์รับประทานเข้าไปแล้วก็ได้รับอันตรายจากสารพิษนั้น เรียกได้ว่า เป็นการรับสารพิษจากห่วงโซ่อาหาร
                     "สารพิษในอาหารอันตรายกับเรามากโดยที่เรารับประทานเข้าไปโดยไม่รู้ตัว "

รู้ทันโรค...ไม่ป่วย

                                        บันทึกการอ่าน

                                วันที่ ๒๗              เดือน มกราคม           พ.ศ. ๒๕๕๙
                                ที่มา : นพ. สิทธา ลิขิตนุก                      ชื่อเรื่อง : รู้ทันโรค...ไม่ป่วย
                                พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                สำนักพิมพ์ : บริษัท มายเบสท์บุคส์ จำกัด
                                หน้า ๑๓-๒๕

         การดูแลรักษาสุขภาพในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อย่างเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหวัด คัดจมูกนำ้มูกไหล คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเกิดมาแล้วไม่เคยเป็นหวัด แต่หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมเราถึงเป็นหวัดกันได้ง่ายดาย แค่การเปลี่ยนแปลงของอากาศเท่านั้นน่ะหรือ ?
         อาการของไข้หวัด ผู้ใหญ่จะมีอาการจาม นำ้มูกไหลมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักไม่ค่อยมีไข้เชื้อจะแพร่กระจายทางเดินหานใจของผู้ป่วย ๒-๓ ชั่วโมงและหมดลงภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนเด็กเล็กอาจจะรุนแรงและมักจะกลายเป็นหลอดลมอักเสบ และปอดบวม
         " เคล็ดลับห่างไกลจากโรคหวัด"
๑.ป้องกันเชื้อใหม่ : ไม่ให้เข้าเพิ่มขึ้นด้วยการสวมหน้ากากอนามัยก็สามารถลดเชื้อได้อีก ๕๐ %  เชื้อใหม่จะไม่ได้เจอเชื้อเก่าในลำคอเราแล้วแพร่พันธุ์อย่างสนุกสนาน
๒.ฆ่าเชื้อเก่า :   ด้วยการดื่มนำ้อุ่น รับประทานอาหารอุ่นๆ ร้อนๆ  แต่ไม่กรอบ  เพราะมันจะระคายคอ แล้วก็ถ้าเป็นหนักถึงขนาดต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ ก็คงจะต้องปฏิบัติตามที่แพทย์ระบุไว้
         " วิธีป้องกันโรคหวัด "
๑. หลีกเลี่ยงที่ชุมชน  เช่นโรงภาพยนตร์ รถไฟฟ้า จำเป็นต้องไปก็ต้องใส่หน้ากากปิดปากและจมูก
๒. ไอหรือจามควรใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษปิดปากและจมูก
๓. ล้างมือบ่อยๆให้สะอาด
๔. ไม่เอามือเข้าปากหรือขยี้ตา เพราะอาจจะนำเข้าสู่ร่างกายได้
๕. ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเวลานาน

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณค่านาฏศิลป์ไทย

                                          บันทึกการอ่าน

                                    วันที่ ๒๑         เดือน มกราคม        พ.ศ. ๒๕๕๙
                                    ที่มา : ศศิธร นักปี่                          ชื่อเรื่อง : คุณค่านาฏศิลป์ไทย
                                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                                    สำนักพิมพ์ : บริษัท ไทยพัฒนา จำกัด
                                    หน้า ๒-๑๓

                           นาฎศิลป์ไทย เป็นศิลปะการแสดงที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพราะการแสดงนาฎศิลป์ไทยแต่ละชุด จะสร้างสรรค์จากจินตนาการและแนวคิดที่อิงอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรมประเพณี  และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นการได้ไปชมการแสดงนาฎสิลปืไทยในชุดหนึ่งๆ ผู้ชมจะได้รับความรู้และความบันเทิงควบคู่กันไป
         เอกลักษณ์ของนาฎศิลป์ไทย
๑) ท่ารำ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร มีลาอ่อนไหวซ้อยสวยงาม
๒) ดนตรี มีจังหวะทำนองโดดเด่น มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ใช้เครื่องดนตรีในการบรรเลงในการแสดง
๓) เนื้อเพลง ส่วนมากเป็นคำประพันธ์ประเภทกลอนแปด ผู้สอนหรือผู้รำมักกำหนดท่ารำไปตามเนื้อร้อง
๔) เครื่องแต่งกาย มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  สวยงามมาก โดยเฉพาะการแสดงนาฎศิลป์ชุดใหญ่
        " นาฎศิลป์ไทยสามารถสร้างความสุข สร้างความบันเทิงให้กับชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก"

การเคลื่อนไหวร่างกาย

                                          บันทึกการอ่าน

                    วันที่ ๒๑                เดือน มกราคม           พ.ศ. ๒๕๕๙
                    ที่มา : รองศาสตราจารย์เรณุมาศ มาอุ่น   ชื่อเรื่อง : การเคลื่อนไหวร่างกาย
                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                    สำนักพิมพ์ : บริษัท  พัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว ) จำกัด
                    หน้า ๕๖-๖๗

                   การเคลื่อนไหว เป็นลักษณะพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์ที่แสดงการเปลี่ยนแปลงท่าทางของร่างกาย จากแบบหนึ่งไปอีกแบบหนึ่ง เช่นการงอพับ หรือเหยียดตรงของแขนและขา ที่ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนที่ถูกต้องจะเป็นพื้นฐานในการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาที่นำไปสู่การมีสุขภาพที่แข็งแรง การพัฒนาการเคลื่อนไหว มีความสำคัญในการสร้างเสริมความสามารถของร่างกายให้สามารถปฎิบัติกิจกรมม ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้ดี 
                    โดยผู้ปฎิบัติต้องมีความเข้าใจในหลักการและการเรียนรู้วิธีการปฎิบัติและนำไปปฎิบัติอย่างสมำ่เสมอ จึงจะทำให้การเคลื่อนไหวพัฒนาดีขึ้น และมีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัย
                       

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

สิทธิของเด็ก

                                         บันทึกการอ่าน

                            วันที่ ๑๕                      เดือน มกราคม                 พ.ศ. ๒๕๕๙
                            ที่มา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุษบา คุณาศิรินทร์     ชื่อเรื่อง : สิทธิของเด็ก 
                            พิมพ์ครั้งที่ ๑
                            สำนักพิมพ์ : บริษัท พัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว.) จำกัด
                            หน้า ๑๗-๒๕

        เด็กทุกคนที่เกิดมา ต่างต้องการความรักและความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่วันข้างหน้า ดังนั้น ถ้าต้องการให้สังคมมีความสงบสุข มีความปลอดภัย ผู้ใหญ่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้แก่เด็ก ทั้งนี้เพื่อจะทำให้เด็กสามารถเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมได้ในอนาคต สิทธิของเด็กที่สำคัญ มี ๔ ประการคือ
    ๑. สิทธิที่จะมีชีวิต ปัจจุบันเด็กที่ถูกทำทารุณในลักษณะต่างๆ มีอยู่มากมายเด็กเหล่านี้ได้รับความยากลำบากในการดำรงชีวิตและไม่ได้ความเป็นธรรม ซึ่งทำให้เด็กเป็นอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีสิทธิที่จะเกิดมาตามธรรมชาติ ผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิทำร้ายเด็ก
    ๒. สิทธิที่จะได้รับการป้องกัน   เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องดูแบให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆสิทธิของเด็กที่จะได้รับการปกป้อง เช่นได้รับความคุ้มครองจากการถูกละเมิดทางเพศ
    ๓. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา  ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมและสนับสนุนเด็กตามสิทธิของเด็กที่จะได้รับการพัฒนา เช่น บิดามารดาหรือผู้ปกครองต้องสอนสิ่งที่ดีให้แก่เด็ก เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้ฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี
    ๔.  สิทธิที่จะมีส่วนร่วม การอยู่ร่วมกันในสังคม เด็กสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม เช่นเดียวกับสมาชิกในชุมชนทุกคน โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือข้อบังคับสิทธิเด็กที่จะมีส่วนร่วม เช่น เด็กควรได้พบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น 
                                "เด็กในวันนี้จะเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าที่ดีได้ถ้าเราให้สิทธิให้กับเด็ก"

อาชีพน่ารู้

                                            บันทึกการอ่าน

                           วันที่ ๑๕                      เดือน มกราคม           พ.ศ.๒๕๕๙
                           ที่มา : นิภา บุญยะรัตน์                                   ชื่อเรื่อง :  อาชีพน่ารู้
                           พิมพ์ครั้งที่ ๑
                           สำนักพิมพ์ : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ จำกัด
                           หน้า ๑- ๑๒

              อาชีพ คือ การทำงานต่างๆ เพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว อาชีพสุจริตทุกอาชีพต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกันและต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งการประกอบอาชีพมีความสำคัญ ดังนี้ ๑. ความสำคัญต่อตนเอง ทำให้เรามีรายได้ไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่นเป็นค่าอาหาร   เป็นค่ารถโดยสาร หรือไว้ซื้อเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นต้น
        ๒. ความสำคัญต่อครอบครัว ทำให้มีรายได้มาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข เช่น เป็นค่าอาหาร ค่านำ้ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
        ๓. ความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติ  ทำให้มีการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศชาติดีขึ้น มีเงินมาไว้สร้างสิ่งต่างๆ เช่น ถนน อาคาร สำนักงานต่างๆ เป็นต้น
             นอกจากการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพจะต้องมีทักษะมีความรู้ในอาชีพของตนเอง เช่น อาชีพชาวไร่ ต้องมีทักษะกระบวนการทำงาน มีความรู้เกี่ยวกับการปลูก การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ที่ตนเองปลูก เป็นต้น

          

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

ใช้ชีวิตอย่างไรให้หัวใจแข็งแรง

                                        บันทึกการอ่าน

                         วันที่  ๓          เดือน มกราคม     พ.ศ. ๒๕๕๙
                         ที่มา : อนุชิต ดวงพรม                ชื่อเรื่อง : ใช้ชีวิตอย่างไรให้หัวใจแข็งแรง
                         พิมพ์ครั้งที่ ๑ 
                         สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ สกสค.ลาดพร้าว
                         หน้า ๓๔-๔๒

            โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอุบัติการณ์ตายมากยิ่งกว่าโรคอื่นในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นการเสียชีวิตของผู้ป่วยบางรายก็ดป็นไปอย่างชนิดปุปปับโดยที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน สาเหตุการเกิดโรคนี้ส่วนใหญ่คือไม่ค่อยออกำกำลังกาย นำ้หนักตัวมากเกินไป ระดับไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง แล้วที่สำคัญเลยเกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งที่จริงๆแล้วโรคนี้เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้หากรู้จักดุแลรักษาตัวเอง เคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยทำให้หัวใจของเราได้รับแต่สิ่งดีๆ อันจะส่งผลให้หัวใจแข็งแรงขึ้น
   ๑. รับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน 
   ๒. ลืมเรื่องไดเอ็ท
   ๓. กินผักสดและผลไม้เป็นประจำ
   ๔. อย่ามองข้ามกิจกรรมร่วมรัก
   ๕. พักสายตาสักนิดในยามบ่าย
   ๖. ลด ละ เลิกจากการสูบบุหรี่
   ๗. หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส 
                         เคล็ดลับดังกล่าวจะช่วยการลดเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้  ๑๐๐ % 

สุขภาพดีไม่มี(ที่ไหน)ขาย

                                     บันทึกการอ่าน

                     วันที่ ๓             เดือน มกราคม         พ.ศ. ๒๕๕๙
                    ที่มา :  คธาชัย กล้าหาญ                   ชื่อเรื่อง : สุขภาพดีไม่มี(ที่ไหน)ขาย
                    พิมพ์ครั้งที่ ๑
                    สำนักพิมพ์ : บริษัท ธนชัยรุ่งเรืองพัฒนา
                    หน้า ๑-๑๕

          สุขภาพดี...ไม่มีขาย ตอน"เลือกอาหารอย่างไรให้ลูกกับกรุ๊ปเลือด" เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดที่ต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารแต่ล่ะชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียวและจับเกาะติดเลือดที่เรียกว่า Lectin การเลือกรับประทานอาหารนั้นควรเลืกให้สัมพันธ์กับกรุ๊ปเลือด
     กรุ๊ป  O  เป็นเลือดกรุ๊ปแรกที่เกิดขึ้น คนที่กรุ๊ปเลือดนี้ถือว่ามีสุขภาพแข็งแรงกว่ากรุ๊ปอื่นๆ ปํญหาของคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้คือกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่ายการรับประทานผักรับประทานได้แทบทุกชนิด ควรเลี่ยงผักตระกูลกะหลำ่เพราะมีผลต่อไทรอยด์   และมันฝรั่งซึ่งจะทำให้ปวดข้อ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกะเพาะอาหาร  ผลไม้รับประทานได้ทุกชนิด และควรรับประทานอาหารที่มีวิตตามินบี เช่น เนื้อ ตับ หัวใจ ให้มากๆ
      กรุ๊ป A  คนกรุ๊ปเลืดนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกะเพาะตำ่  ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้กันไม่ค่อยดี มีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง กรุ๊ปเลือด A จึงถูกจัดเป็นนักมังสวิรัติ ควรหลีกเลี่ยงไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ถ้าต้องการรับประทานให้ทานเนื้อไก่แทนเพราะมันไม่มันมาก และควรรับประทานอาหารที่มีวิตามิน E สูง ผลไม้ควรรับประทาน สับปะรด ส้มโอ จะสามารถช่วยย่อยได้ดีมาก
       กรุ๊ป B  คนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัสและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อคนกรุีปเลืดนี้จัดอยู่ในพวกสมดุล เพราะเป็นเลือดเพียงกรุ๊ปเดียวที่สามารถรับประทานอาหารนม เนย ไข่ ได้อย่างเต็มที่ ควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวรระบบในร่างกาย